วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปัญหาและแนวโน้มการศึกษาไทยในอนาคต


ปัญหาและแนวโน้มการจัดการศึกษาไทยในอนาคต
  


                                          กษมา  ศรีสุวรรณ
                                                                                นักศึกษาดุษฎีบัณฑิต การบริหารการศึกษา
                                                                      มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
การพัฒนาประเทศต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาคน การพัฒนาคนเริ่มต้นที่การให้
การศึกษา เพราะเชื่อว่าการศึกษา  เพราะเชื่อว่าการศึกษาช่วยสร้างความรู้ความคิด ทักษะเจตคติให้คนไทยรู้จักตนเองรู้จักชีวิต เข้าใจสังคมและสิ่งแวดล้อมพัฒนาอาศัย นำความรู้ความเข้าใจมาใช้ในการแก้ปัญหา รวมทั้งสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวล้ำนำโลกไม่มากดำเนินต้องพัฒนาการศึกษาให้ก้าวทันโลกแต่ปัจจุบันนี้เมื่อหันมามองการจัดการศึกษาไทย เข้าใจไปไม่ในแนวทางเดียวกันคือ การศึกษาไทยกำลังมีปัญหา ซึ่งมีการทำวิจัยออกมาหลายๆครั้งที่สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการจัดการศึกษา ปัจจุบันน้าถาบันครอบครัวอ่อนแอ มียาเสพย์ติดและอบายมุขเข้ามาเป็นสาเหตุของปัญหาพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นปัญหาและค่านิยมอันผิดๆของวัยรุ่นในสังคมไทย นับวันจะทวีความรุนแรงและจะกลายเป็นวิกฤติทางสังคม โดยมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากการขึ้นหากการจัดการศึกษามีคุณภาพพอ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติไม่ให้เกิดภัยสึนามิ ไม่ให้เกิดแผ่นดินไหว ให้เกิดสภาวะโลกร้อนไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือการแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่ แต่เสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ โดยใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลง
                       การศึกษาที่มีคุณภาพสามารถเปลี่ยนแปลงคนไปในทางที่ดีกว่าเพราะการศึกษาคือความเจริญงอกงาม (Education is Growth) และทำหน้าที่พัฒนาคุณภาพชีวิตคน การศึกษาสามารถจัดคนเข้าสู่อาชีพตามความถนัดและความสนใจได้ การศึกษาสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ทันต่อเหตุการณ์ และแก้ปัญหาสังคม ประเทศและโลกได้
                       ถึงแม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ปฏิรูปการศึกษาในรอบแรกไปแล้วนั้น ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ กล่าวคือในรอบแรก ต้องการพัฒนาการศึกษาไทยให้มีเอกภาพ มีการจัดระบบโครงสร้าง  มีองค์กรอิสระเข้ามาทำหน้าที่รับรองมาตรฐาน และประเมินผลข้อสอบนักเรียน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนที่คิดเป็นทำเป็น แต่เมื่อจากนโยบายด้านการศึกษาไม่ต่อเนื่อง และไม่ประสบความสำเร็จ เท่าที่ควร การปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกจึงเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนโครสร้าง จึงได้มีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษ (2552-2561)เพื่อพัฒนาการศึกษาวางระบบและวางรากฐานที่ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันนี้การจัดการศึกษาของไทยมีปัญหาที่พอแจกประเด็นได้ดังนี้
จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540  ให้ความสำคัญแก่การศึกษาโดยให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติเป็นการเฉพาะ  นำไปสู่การประกาศพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขปรับปรุง (ฉบับที่2) พ.ศ.2545  มีเนื้อหาสาระสำคัญโดยย่อดังต่อไปนี้
  • ความมุ่งหมายและหลักการ เนื่องจากการศึกษามีบทบาทสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ  ดังนั้นจึงต้องจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยให้สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต  สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข  ระบบโครงการและกระบวนการศึกษายึดหลักสำคัญ 3 ประการ  คือ เป็นการศึกษาสำหรับประชาชนทั่วไปตลอดชีวิต  ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและเป็นการพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
  • สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา  บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี  ที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ  โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายและเน้นเป็นพิเศษสำหรับคนพิการและผู้ด้อยโอกาส  รวมทั้งผู้มีความสามารถพิเศษ
  • บุคคล ชุมชน สถาบันต่างๆ และสถานประกอบการ  มีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน บิดา มารดา และผู้ปกครองมีสิทธิได้รับการสนับสนุนและเงินอุดหนุนจากรัฐในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่บุตรหรือบุคคลในความดูแล  รวมทั้งได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษา
  • ระบบการศึกษา  มี 3 ระบบ  คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย  สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาได้ทั้ง 3 ระบบให้มีการเทียบโอนระหว่างระบบ
  • แนวการจัดการศึกษา  หลักสูตรต้องบรรจุเรื่องความรู้ ทักษะ คุณธรรมทุกระดับชั้น และให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับตนเอง สังคม ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี โดยถือหลักทุกคนสามารถพัฒนาตนเองได้  และผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
  • การบริหารและการจัดการศึกษา  มีกระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับ ทุกประเภท  กำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา  สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา  ส่งเสริมและประสานงานการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการกีฬาเพื่อการศึกษา  รวมทั้งติดตาม ตรวจสอบ ประเมินการจัดการศึกษาและราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวง
  • มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา  ให้มีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่ง ทุกระดับอย่างน้อย 1 ครั้ง ทุก 5 ปี
  • ครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา  ให้มีองค์กรวิชาชีพครูและผู้บริหารสถานศึกษา  ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพออก และถอดถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู  ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษามีองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู มีกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและค่าตอบแทน  มีกองทุนส่งเสริมและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
  • ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา  ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อการศึกษาในรูปค่าใช้จ่ายดำเนินงาน เงินอุดหนุน จัดตั้งกองทุนและอื่นๆ  ให้แก่สถานศึกษา ครอบครัว ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จัดการศึกษา
  • เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา  ให้รัฐจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม และสื่อสารรูปอื่นๆ  เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาและส่งเสริมสนับสนุน ระดมทุนวิจัย พัฒนาการผลิตสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาทุกรูปแบบ
  • บทเฉพาะกาล  ให้มีคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา  เป็นองค์กรมหาชน  ทำหน้าที่ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้สำเร็จภายใน 3 ปี 
ระบบการบริหารการศึกษาไทยในปัจจุบัน
การบริหารการศึกษาไทยเกิดจากสาระสำคัญของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไข (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ในหมวดที่ 5 ว่าด้วยการบริหารและจัดการศึกษาในส่วนการบริหารและจัดการศึกษาของรัฐ ซึ่งเป็นการกระจายอำนาจการศึกษาโดยตรงนั้น มีสาระสำคัญดังนี้
การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับชาติ ระดับเขตพื้นที่การศึกษาและระดับสถานศึกษา เพื่อเป็นการกระจายอำนาจลงไปสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษาให้มากที่สุด  โดยมีรายละเอียดดังนี้
ระดับชาติ  ให้มีกระทรวงศึกษาธิการ  ให้มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุก
ประเภท  กำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา  สนับสนุนทรัพยากร  รวมทั้งการติดตามตรวจสอบ  และประเมินผลการจัดการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม  ประกอบด้วยหน่วยงานหลัก 4 องค์กร  คือ สภาการศึกษา คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการการอุดมศึกษา  นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ในส่วนกลางที่จัดขึ้นตามความจำเป็น
ระดับเขตพื้นที่การศึกษา  การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาระดับต่ำกว่า
ปริญญาให้จัดโดยเขตพื้นที่การศึกษา  โดยคำนึงถึงปริมาณสถานศึกษา จำนวนประชากรเป็นหลัก และความเหมาะสมอื่นด้วย ในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาให้มีคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทำหน้าที่กำกับดูแลสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  โดยมีการแบ่งส่วนราชการภายในออกเป็นกลุ่มตามงานที่ปฏิบัติในลักษณะกำกับดูแล  ประสานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ได้แก่ กลุ่มอำนวยการ  กลุ่มบริหารงานบุคคล  กลุ่มนโยบายและแผน  กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา  กลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผล  กลุ่มส่งเสริมสถานศึกษาเอกชน หน่วยตรวจสอบภายใน  มีขอบเขตภารกิจเกี่ยวกับงานตรวจสอบการเงิน การบัญชี และ
งานตรวจสอบการดำเนินงานต่างๆ
ระดับสถานศึกษา  ให้แต่ละสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาอุดมศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญา
มีคณะกรรมการสถานศึกษาเพื่อทำหน้าที่กำกับและส่งเสริม สนับสนุนกิจการของสถานศึกษา  และจัดทำสาระของหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชน และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและคุณลักษณะอันพึงประสงค์  ทั้งนี้ให้กระทรวงกระจายอำนาจทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล  และการบริหารทั่วไปไปยังคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง สถานศึกษา  เป็นหน่วยงานทางการศึกษาที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  โดยมีการแบ่งส่วนราชการภายในสถานศึกษาเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละเขตพื้นที่การศึกษากำหนด ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันตามสภาพความพร้อมและบริบทของแต่ละสถานศึกษา  ซึ่งหากแบ่งงานภายในสถานศึกษาโดยใช้ขอบข่ายและการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาอาจจัดโครงสร้าง ดังนี้ กลุ่มบริหารวิชาการ  กลุ่มบริหารงบประมาณ  มีขอบเขตภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำแผนงบประมาณและขอตั้งงบประมาณ เพื่อเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่ม กลุ่มบริหารทั่วไป 
จากการที่ระบบบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ  ได้กำหนดให้กระจายอำนาจลงไปสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษาให้มากที่สุด  โดยในระดับสถานศึกษาให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาทำหน้าที่กำกับ ส่งเสริม สนับสนุนกิจการของสถานศึกษา  รวมทั้งจัดทำสาระหลักสูตรของสถานศึกษา
ปัญหาการจัดการศึกษาไทยในปัจจุบัน
1.คุณภาพการศึกษา
อยู่ในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจ เมื่อดูจากผลการทดสอบระดับชาติ ฯ โดยเฉพาะวิชาหลักในปี ๒๕๕๒ ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่๓ มีผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าร้อยล่ะ๕๐ทุกวิชา ภาษาไทยร้อยละ๔๑
สังคมศึกษา  ร้อยละ๔๑ ภาษาอังกฤษ ร้อยละ ๓๔คณิตศาสตร์ ร้อยละ ๓๒วิทยาศาสตร์ ร้อยละ๓๙ ค่าเฉลี่ยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ เกือบทกวิชา ภาษาไทย ร้อยละ ๔๖ สังคมศึกษา ร้อยละ๓๔ ภาษาอังกฤษ ร้อยละ๓๐ วิทยาศาสตร์ ร้อยละ๓๓ ยกเว้นวิชาสุขศึกษาร้อยละ ๕๖และสำคัญที่สุด เมื่อเปรียบเทียบในระดับนานาชาติ พบว่าอยู่ในระดับไม่น่าพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นผลจาก IMD (Institute for Management Development) การศึกษาไทยอยู่อันดับที่๔๗จาก๕๘ ประเทศผลการทดสอบจาก PISA (Program for International Student Assessment) การอ่านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่มีประเทศอยู่ในกลุ่มOECD นอกกลุ่มสมาชิก รวม๖๕ ประเทศ ประเทศไทยได้คะแนนการอ่าน๔๒๑ คะแนน คณิตศาสตร์ ๔๑๙คะแนน วิทยาศาสตร์๔๒๕ คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศทั่วโลกไทยอยู่อันดับที่ ๔๗-๕๒โดยประมาณ จากผลโครงการวิจัยประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในวิชาเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ใน๕๙ประเทศสมาชิก TIMS Trends in International Mathematics and Science Study
2.โอกาสทางการศึกษา พบว่ามีอัตราการเข้าเรียนสุทธิของนักเรียนในแต่ละระดับยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ประกอบด้วยระดับระดับปฐมวัย ร้อยละ ๕๙ ระดับการศึกษาภาคบังคับ ร้อยละ๙๐.๓ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร้อยละ ๘๒.๖ ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีจำนวนนักเรียนในระดับการศึกษาภาคบังคับ ร้อยละ ๙๘ฉะนั้นคำถาม คือเด็กอีกร้อยละ ๙หายไปไห แต่การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีอัตราเพิ่มขึ้นจากปี๒๕๕๑ร้อยละ๑๑๓ แต่ยังคงมีเด็กที่ไม่มีโอกาสต่อ เด็กออกกลางคัน ร้อยละ ๑๐ อีกทั้งยังมีเด็กที่อยู่พื้นที่สูง ท้องถิ่นห่างไกล นอกเมือง พื้นที่เสี่ยงภัย รวมประมาณร้อยละ๗-๙ต่อปีหรือจำนวนกว่า๒ล้านคน
3.การบริหารจัดการ ในด้านงบประมาณ พบว่าประเทศไทยลงทุนด้านการศึกษาร้อยละ๔.๒ของGDP ซึ่งเป็นการลงทุนด้านการศึกษาที่สูงกว่าประเทศญี่ปุ่นอินเดีย เกาหลี สิงคโปร์ และจีน แต่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาประเทศเหล่านั้นปัญหาเรื่องการกระจายอำนาจไปสู่สถานศึกษากาเพื่อให้มีความอิสระ มีความคล่องตัว ในขณะที่ ศธ.ครบรอบ๑๑๙ปีซึ่งมีการบริหารจากด้านบนลงด้านล่าง พบว่าในเชิงของประสิทธิภาพยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจโดยเฉพาะการบริหารจัดการศึกษาระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ยังอยู่ในสัดส่วน ๘๑:๑๙แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีสัดส่วนการจัดการการศึกษากาขั้นพื้นฐานระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ๖๐.๔๐ ระดับมัธยมศึกษาและระดับอาชีวะศึกษา๕๐:๕๐ ระดับอุดมศึกษา๔๐:๖๐          
             สภาพทางด้านเศรษฐกิจละสังคมในเมืองและชนบทมีความเลื่อมล้ำกันมาก  ทำให้เด็กในชนบทมีโอกาสศึกษาต่อในระดับสูงที่ไม่ใช่ภาคบังคับน้อยกว่าเด็กในเมือง
              การกระจายสถานศึกษากายังไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และจำนวนประชากร  มุ่งลงทุนในเมืองมากกว่าชนบท โดยเฉพาะพื้นที่มีแรงผลักดันด้านการเมืองการปกครอง
5.การจัดการศึกษาไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานการลงทุนทางการศึกาในหลายลักษณะงานมุ่งขยายปริมาณรวดเร็วโดยยังไม่สอดคล้องกับคุณภาพและความต้องการของตลาดแรงงานส่วนใหญ่มุ่งผลิตบุคลากร เพื่อสนองความต้องการของทางราชการมากกว่าการผลิตบุคลากร เพื่อสถานประกอบการเอกชนและประกอบอาชีพส่วนตัวเป็นเหตุหัยเกิดปัญหาการว่างงานกว้างขวางยิ่งขึ้น และวิศวกรรมศาสตร์บางสาขายังต้องประสบปัญหาที่ต้องทำงานต่ำกว่าระดับกลางที่มีปัญหาการว่างงานและเรียนต่อสูงมีเกือบทุกสาขา ยกเว้นสาขาอุตสาหกรรมบางสาขาเท่านั้น ส่วนบัณฑิตในสาขาที่ผลิตแล้ว ยังไม่พอกับความต้องการของตลาดแรงานคือแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุขทุกประเภท และกำลังคนที่สนองความต้องการในสาขาพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกับก๊าซธรรมชาติ
6.ด้านผลผลิตและระบบการศึกษา พบว่าการผลิตนักเรียนนักศึกษายังไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้และตลาดแรงงานเพราะการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวะศึกษา และ อุดมศึกษาไม่มีความเชื่อมต่อกัน ศธ. จึงต้องมองภาพรวมของจัดการศึกษาและปัญหาการศึกษาไทยอย่างละเอียดรอบครอบ เพื่อเร่งผลักดันให้เกิดความเชื่อมโยงในแต่ละระดับการศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
                 
           จากการติดตามผลการปฏิบัติงานตามแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติที่ผ่านมาพบว่าการจัดการศึกษาของไทยยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร  แม้หลักสูตรจะเปลี่ยนไปแต่พฤติกรรมการสอนของครู-อาจารย์ในสถานศึกษาต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนไป  การสอนยังเป็นแบบการให้ความรู้เชิงเนื้อหาเป็นหลัก เน้นความจำและจดบันทึกสิ่งที่ครูบอก  ไม่ค่อยมีการใช้สื่อและนวัตกรรมใหม่ๆ  บุคลากรในองค์การขาดความกระตือรือร้นและอื่นๆ ปัญหาและข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นปัญหาซ้ำซากแก้ไม่ตกรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับสูงและผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องหลายท่านพยายามจะนำแนวคิดใหม่และนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้  แต่ไม่ค่อยเกิดผลในทางปฏิบัติเท่าที่ควร  การดำเนินการอาจจะเป็นไปแบบไฟไหม้ฟางอยู่ระยะหนึ่งในช่วงผู้บริหารผู้นั้นยังครองอำนาจอยู่  พอเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ แนวคิดและแนวปฏิบัติต่างๆก็เปลี่ยนไปด้วย  จนกลายเป็นโรคดื้อยาไปแล้ว (สมาน  อัศวภูมิ,2551,199)
ปัญหาการบริหารการศึกษาโดยภาพรวม
 การรวมอำนาจ  มีความล่าช้าในการอนุมัติ  ขาดความเป็นอิสระ  ไม่ตอบสนองชุมชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม  สิ้นเปลืองงบประมาณและทรัพยากร  การจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง  สถานศึกษาไม่อาจสรรหาบุคลากรได้ตามต้องการเนื่องจากระเบียบการคัดเลือก บรรจุ แต่งตั้ง  ในด้านหลักสูตรการเรียนการสอนมีการกำหนดและควบคุมจากส่วนกลางสูงมาก  ความพยายามให้สถานศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่พัฒนาหลักสูตรในท้องถิ่นยังไม่เกิดผลเท่าที่ควร

การขาดเอกภาพในการบริหาร  ความเป็นอิสระของหน่วยงานแต่ละหน่วยงานต่างบริหารและขยาย
งานในแนวตั้งจนไม่สามารถประสานและกำกับงานการศึกษาให้มีเอกภาพ ให้เกิดผลเป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายที่พึงประสงค์ได้อย่างเต็มที่
การขาดประสิทธิภาพในระบบประกันคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา  คุณภาพของผู้เรียน
โดยทั่วไปยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจและยังมีความแตกต่างกันมาก  ทั้งในแต่ละระดับการศึกษาและระหว่างสถานศึกษาที่จัดในระดับเดียวกัน  ทั้งที่อยู่ในสังกัดเดียวกันหรือต่างสังกัด  หรืออยู่ในพื้นที่ต่างกันหรือต่างขนาดกัน
การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน  การบริหารที่รวมศูนย์อำนาจทำให้เกิดความยึดเหนี่ยวใน
องค์กร  ยากที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนกลุ่มต่างๆในท้องถิ่นมีส่วนร่วมได้  ทำให้การจัดการศึกษาไม่สอดคล้องกับสภาพความต้องการของประชาชน
ขาดการพัฒนานโยบายอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง  จากการขาดการยอมรับนโยบายและแผนทั้ง
ระดับชาติ ระดับกระทรวง และนโยบายและแผนที่ผู้มีอำนาจเดิมกำหนดไว้  รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นอยู่เสมอ  ทำให้ขาดความต่อเนื่องของนโยบายและแผน และการปฏิบัติก็ขาดความต่อเนื่องไม่บรรลุผลเท่าที่ควร
การขาดความเชื่อมโยงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่น  โดยหลักการแล้ว
กระทรวงศึกษาธิการควรมีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนทางด้านวิชาการ ทรัพยากร  การกำหนดนโยบายและมาตรฐานการศึกษา  เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาที่ประชาชนจะได้รับจากการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  แต่ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการยังไม่มีบาบาทดังกล่าว  นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังขาดการเชื่อมโยงการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในหน่วยงานสังกัดเดียวกันและต่างสังกัด  ทำให้ต่างฝ่ายต่างกำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการจัดการศึกษาของตนเอง  ทั้งที่จัดการศึกษาในระดับเดียวกันแต่ไม่สามารถเปรียบเทียบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษากันได้
แนวโน้มการศึกษาไทยในอนาคต
การศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของกระสังคมโลกส่งผลให้สังคมไทยเกิดการปรับตัวเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคม และการเมือง  การศึกษาจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งแนวคิด สาระ  ตลอดจนแนวทางในการจัดการศึกษาในฐานะเป็นเครื่องมือหรือวิธีการที่สำคัญในการพัฒนาบุคคลในชาติให้พร้อมรับและปรับตัวให้สอดคล้องเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมโลกทุกรูปแบบ เกรียงศักดิ์  เจริญวงศ์ศักดิ์ (2550, 1-8)  ได้แบ่งสังคมโลกออกเป็นคลื่น 5 ลูกคือ
คลื่นลูกที่ 1 คือ สังคมเกษตรกรรม  ใช้ความใหญ่โตกว้างขวางของพื้นที่เกษตรเป็นดัชนีวัดความเจริญ และความมั่งคั่งของประเทศ คลื่นลูกที่ 2 คือ สังคมอุตสาหกรรม  ใช้ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรหรือทุนเป็นดัชนีวัดความเจริญและความมั่งคั่งของประเทศ คลื่นลูกที่ 3 คือ สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ  ใช้ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอำนาจในการเข้าถึง รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ข่าวสารเป็นดัชนีวัดความเจริญก้าวหน้าและความมั่งคั่งของประเทศ คลื่นลูกที่ 4 คือ สังคมความรู้  ใช้ความสามารถในการครอบครองความรู้ หรือข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนที่สุดเป็นดัชนีความเจริญและความมั่งคั่งของประเทศ คลื่นลูกที่  5 คือ  ปราชญาสังคม  หรือสังคมแห่งปัญญา  ใช้ปัญญาวิถีเป็นดัชนีวัดความเจริญและความมั่งคั่งของประเทศ
ดังนั้นเป้าหมายของการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 คือ การสร้างปัญญาชนป้อนเข้าสู่สังคมไทย ปัญญาชนดังกล่าวมี 2 ระดับ คือ
 ประชาเมธี  หมายถึง ประชาชนที่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต  ใช้วิจารณญาณในการ
ดำเนินชีวิตมากกว่าการตอบสนองอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของตนเอง ปราชญาธิบดี  หมายถึง  ชนชั้นนำทางปัญญาของสังคมที่ทำหน้าที่เป็น “นักคิด” ทางปัญญาของสังคมคนกลุ่มนี้ได้แก่  นักวิชาการ ผู้บริหาร และผู้ปกครองประเทศหรืออาจดำรงตำแหน่งอาชีพหรือสถานะสังคมใดๆก็ได้  ปราชญาธิบดีจะเป็นตัวแทนในการเปลี่ยนแปลงประเทศและเป็นผู้นำด้านความคิดของบ้านเมือง หัวใจของการจัดการศึกษา  จึงควรมุ่งสร้างคนในประเทศทุกคนให้มีปรัชญาการมองโลกที่ถูกต้อง  เพราะปรัชญาการมองโลกเป็นพื้นฐานที่รองรับทิศทางที่สร้างความเจริญและสร้างความสงบสุขให้แก่ตนเองและแก่สังคม  ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดปรัชญาในการมองโลกมีหลายปัจจัยรูปแบบของการศึกษาที่สร้างปัญญา   เป็นระบบการศึกษาที่มีความสมดุลระหว่างการศึกษาเชิงทฤษฎีกับชีวิตจริง เป็นระบบที่สอนคนให้คิดเป็น วิเคราะห์เป็นและประยุกต์ใช้เป็น หลักสูตรการศึกษามีความสมดุลระหว่างความเป็นท้องถิ่นและความเป็นสากล เป็นระบบการศึกษาที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ การศึกษาเพื่อความรู้ (Knowledge) การศึกษาเพื่อสร้างทักษะ (Skill)  และการศึกษาเพื่อสร้างคุณลักษณะชีวิต (Character) เป็นระบบการศึกษาเพื่อทุกคน ทุกระดับสติปัญญา เป็นระบบการศึกษาเพื่อสร้างจิตสำนึกในอุดมการณ์ประชาธิปไตย เป็นระบบการศึกษาที่เน้นการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม     ระบบการเรียนการสอนเน้นสิ่งที่ประเทศไทยมีอยู่เป็นเอกลักษณ์  และสอนโดยเป็นแบบอย่างให้ทำตาม (Role Modeling) เป็นระบบการศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเครือข่ายการสร้างปัญญาวิถี 3 เครือข่าย คือ เครือข่ายของเด็กวัยเรียน เครือข่ายคนวัยทำงาน และเครือข่ายคนในชุมชน สิปปนนท์  เกตุทัต (2539,17-22)  กล่าวถึงวิสัยทัศน์การศึกษาไทยในอนาคต สรุปได้ดังนี้ เป็นระบบการศึกษาที่เพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ของบุคคล ครอบครัว และชุมชนด้วยการส่งเสริมทักษาเกี่ยวกับการเรียนรู้  เพื่อสามารถพัฒนาตนเองได้ต่อเนื่องตลอดชีวิต สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  สามารถรับข่าวสารใหม่ด้วยการคิดวิเคราะห์  รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนสามารถผนึกกำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพปัญหาไปสู่สภาพที่พึงประสงค์ ปรัชญาการศึกษาในอนาคต  ถือว่าชีวิตที่มีความสุขคือ ชีวิตที่มีการเรียนรู้ และพัฒนาคนให้เป็นผู้สร้างมากกว่าผู้เสพ เป้าหมายของการจัดการศึกษา  ได้แก่ มุ่งสร้างให้คนมีความมั่นใจและเป็นตัวของตัวเอง มุ่งสนองปัญญามากกว่าตัณหา มุ่งพัฒนาวุฒิของความเป็นมนุษย์ที่วัดไม่ได้ด้วยวุฒิบัตร ส่งเสริมอิสรภาพของปัจเจกบุคคล ส่งเสริมให้คนมีคุณธรรมต่อกันด้านกระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยม  ปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์ เนื้อหาของการศึกษาจะเน้นการสอนวิชาสุนทรียะศึกษาและพลศึกษา  ซึ่งจะไปช่วยเสริมสร้างการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมดุล
รูปแบบการจัดการศึกษาในอนาคต  ได้แก่ ให้อิสระแก่ผู้เรียน ให้ทางออกและทางเลือกแก่
ทุกคน ทำให้คนรักท้องถิ่นและสามารถดำเนินชีวิตในท้องถิ่นได้อย่างพึงพอใจ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำงานมีเสรีภาพและความรับผิดชอบในหน้าที่ รูปแบบการศึกษามีความหลากหลาย  เพื่อสนองความต้องการและลักษณะแตกต่างกันของบุคคลและชุมชน สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ที่มีการประสานสัมพันธ์กัน ใช้ความหลากหลายขององค์กรให้เป็นประโยชน์ ได้แก่ โรงเรียน ครอบครัว ชุมชน สื่อมวลชน องค์กรศาสนา ภาคเอกชน องค์กรเอกชนสาธารณะประโยชน์  และองค์กรเฉพาะกิจ นำเทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายข้อมูลทั่วโลกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดการศึกษา ช่วยสร้างความสมดุลระหว่างภาคเศรษฐกิจที่ทันสมัยกับคุณค่าแบบไทยที่เน้นค่านิยมและจริยธรรมตามแนวทางของศาสนา เป็นสื่อให้คนไทยเข้าถึงแก่นวัตกรรมและวิถีชีวิตของชนชาติต่างๆ  เพื่อสร้างความร่วมมือและการแข่งขันในเชิงสร้างสรรค์ สร้างดุลยภาพหรือความพอดีในการผสมผสานคุณลักษณะต่างขั้ว ได้แก่ ความเป็นผู้นำกับผู้ตาม ความสามารถในการทำงานเป็นหมู่คณะ กับความสามารถในการดำรงตนในฐานะปัจเจกบุคคล เสรีภาพกับความรับผิดชอบความสามารถในการแข่งขันกับสมณะ การเห็นความสำคัญและประโยชน์ในวิยาการสมัยใหม่กับความชื่นชมในภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม การเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย การเพิ่มพูนทักษะเฉพาะทางกับการเพิ่มพูนสุนทรียภาพและความรอบรู้ในภาพรวม การเรียนรู้ผ่านสื่อและเทคโนโลยีต่างๆ กับการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ “มนุษย์สัมผัสมนุษย์” การจัดประมวลสาระความรู้ทางมนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา
กระบวนทัศน์ (Paradigm)  หมายถึง  ความคิดที่มีการโยงใยเป็นระบบ ระบบคิดหนึ่งๆก็
คือกระบวนทัศน์หนึ่งในการศึกษาเรื่องหนึ่งๆ  อาจมีหลายกระบวนทัศน์  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิถีการศึกษา เช่น การศึกษาปรัชญาจิตนิยมจะมีหลากหลายกระบวนทัศน์  แต่ในความหลากหลายเหล่านี้จะมีกระบวนทัศน์หลักอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงของกระบวนทัศน์  เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของสถานที่ และเวลา (Place and Time)  ในบริบททางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป วิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง  ส่งผลให้มนุษยชาติดิ้นรนและพยายามคิดค้นวิธีหาทางออกดังเช่น  การผลิตในระบบอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเปลี่ยนมาเป็นการผลิตแบบอัตโนมัติ  ส่วนเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารเปลี่ยนจากระบบ Analog มาเป็น Digital ผ่านใยแก้วนำแสงและเครือข่ายคอมพิวเตอร์  นับเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด ส่งผลทำให้เกิดกระบวนทัศน์ใหม่ที่สวนทางกับกระบวนทัศน์เดิม  ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์แบบมิติเดียวที่มุ่งสนใจแต่เรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นหลัก  กระบวนทัศน์ใหม่เป็นการมองแบบองค์รวมเป็นหลัก การศึกษาในฐานะที่เป็นเครื่องมือพัฒนามนุษย์ให้สามารถอยู่ในสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุขนั้น  กระบวนทัศน์ใหม่ในการจัดการศึกษาให้แก่มนุษยชาติจึงต้องคำนึงถึงบริบทโลก(Context) มนุษย์จะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เกี่ยวกับบริบทหรือสิ่งแวดล้อมโลกเป็นเบื้องแรก  แล้วจึงจะรู้ได้ว่าจะต้องศึกษาเรียนรู้และพัฒนาเพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาด  ซึ่งเป็นหน้าที่ของระบบการศึกษาที่จะทำการเชื่อมโยงการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบทใหม่ของโลก  บริบทใหม่ของโลกในอนาคตที่ควรคำนึงในเรื่องของ ด้านเศรษฐกิจ (Knowledge-based Economy)  ด้านการเมือง(Good Governance)  ด้านสังคม(learning Society) ด้านสาธารณสุข(Wholism) ด้านการศึกษา (Interdisciplinary)ด้านวัฒนธรรม(Contemporary) ด้านสิ่งแวดล้อม (Green Environment)ด้านเทคโนโลยี(Save Technology) ฐานคิดของอารยะธรรมตะวันออก  ปรากฏการณ์การขัดแย้งของมวลมนุษยชาติ  ที่ปรากฏมาเป็นเวลายาวนานจนถึงปัจจุบัน  เป็นดัชนีบ่งบอกถึงความผิดพลาดของการจัดการศึกษาโลกที่ไม่สามารถสร้างความสันติสุขให้มวลมนุษยชาติได้  ดังนั้นการดำเนินการจัดการศึกษาตามฐานความคิดของอารยะธรรมตะวันตกเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างสมดุลได้  ดังนั้นจึงควรบูรณาการฐานความคิดของอารยะธรรมตะวันออกที่น่าสนใจและเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการจัดการศึกษาในบริบทโลกใหม่นี้  โดยมีฐานคิดของการเน้นคุณธรรม (ความดีงาม)  เพราะถือว่าคุณธรรมอยู่เหนือความรู้ และเป็นแหล่งที่มาแห่งความรู้ ความรู้ใช้ในการปลดทุกข์ (รากแห่งปัญญา)  โดยช่วยตัวเองให้พ้นทุกข์ละช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ด้วย  นับเป็นการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคม การศึกษาไม่สามารถแยกออกจากชีวิต ชีวิตคือการเรียนรู้ โดยเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองจากโลกที่เป็นจริงเป็นหลัก เน้นวิธีการเรียนรู้แบบรวมหมู่  และแบบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เน้นการศึกษาจาก “ภายใน”   โดยการขัดเกลาจิตวิญญาณของตนเอง  เพื่อให้สามารถเข้าใจตนเอง  ควบคุมตนเองและสามารถตรวจสอบตนเองได้ตลอดเวลา เป็นฐานคิดแบบธรรมชาตินิยม  โดยถือว่าธรรมชาติเป็นฐานแห่งความรู้และมนุษย์ต้องเรียนรู้เพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพธรรมชาติ  เป้าหมายของการศึกษา คือ อิสรภาพแห่งชีวิตอิสระจากความทุกข์  และอิสระจากปัญหาของสังคม ฐานความคิดของอารยะธรรมตะวันออกดังกล่าว  จะช่วยขัดเกลาจิตใจของมวลมนุษยชาติให้อ่อนโยนมากขึ้น  ซึ่งง่ายต่อการสร้างสันติภาพและสันติสุขในสังคมโลกมากยิ่งขึ้น การจัดการศึกษาที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน  สามารถเรียนได้มากและรวดเร็ว สามารถเข้าถึงการบริการการศึกษาได้ง่าย สามารถเรียนรู้ด้วยรูปแบบที่หลากหลาย สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทุกคนสามารถเข้ารับบริการการศึกษาได้อย่างทั่วถึง และอยู่ที่ไหนก็เรียนได้ สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
แนวคิดการจัดการศึกษาเพื่อความเป็นไท  จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาเพื่อความเป็นไท  เพื่อ
มุ่งให้ผู้เรียนมีความเป็นตัวของตัวเอง  ด้วยการสร้างความรอบรู้ผ่านการบูรณาการและสัมผัสประสบการณ์ตรงจากโลกที่เป็นจริง  สนับสนุนการสร้างความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขอบเขต  และพัฒนาจิตให้สามารถรับรู้ได้ไม่จำกัด ไม่ติดยึดทฤษฎี และมีเสรีภาพในการตัดสินใจ บทบาทของผู้สอนเป็นผู้สร้างความรอบรู้ (Knowledge Constructor)  ทำหน้าที่นำความรู้ที่มีในโลก (World Knowledge) มาเป็นความรู้ใหม่หรือสร้างองค์ความรู้ใหม่  และถ่ายทอด เผยแพร่ให้แก่ผู้เรียนโดยอาศัยเทคโนโลยีมาช่วยสร้างบทเรียนบนเว็บ  สร้างห้องเรียนจำลองแบบเสมือนจริง และสอนด้วยระบบออนไลน์ เป็นต้น
                          จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  แนวคิดของนักการศึกษามีความหลากหลายและต่างกันแต่ในมุมมองของผู้นำเสนอมีความคิดว่าการศึกษาไทยมีทั้งแนวโน้มด้านบวกและด้านลบพอสรุปได้ดังนี้
                       แนวโน้มด้านบวก
  หลักสูตรใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก  จากการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน                 หลักสูตรนานาชาติมีแนวโน้มมากขึ้น  เนื่องจากสภาพยุคโลกาภิวัฒน์ที่มีการเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุน  กระตุ้นให้หลักสูตรการศึกษานานาชาติมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น
                   
3.  การศึกษามีความเป็นสากลมากขึ้น  สภาพโลกาภิวัฒน์ที่มการเชือมโยงในทุกด้านร่มกันทั่วโลก  ผลักดันให้สถาบันการศึกษาไทยต้องพัฒนาการศึกษาให้มีความเป็นสากลเป็นที่ยอมรับดับชาติและระดับสากลมากยิ่งขึ้น
                 4 ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาลดลง  การพัฒนาและการแข่งขันทางการศึกษามีมากขึ้นในระดับที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางด้านการจัดการศึกษาลดลง  โอกาสทางการศึกษาของประชาชนมีมากขึ้น  ประกอบการให้โอกาสตามนโยบายของรัฐและความร่วมมือของเอกชนมีมากขึ้น ช่องว่างทางการศึกษาลดลง
             5 โอกาสรับบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น   การจัดการศึกษามีการแข่งขันมากขึ้นจึงมีโอกาสที่จะได้รับบริการที่มีคุณภาพ มกขึ้น ผู้รับบริการสามารถเลือกรับบริการที่มีคุณภาพของสถานศึกษาอย่างหลากหลาย
แนวโน้มด้านลบ
การผลิตบัณฑิตไม่ตรงกับความต้องการของตลาดและมีมากเกินไป การสอนด้านทักษะชีวิต  คุณธรรม จริยธธรรมลดลง   เนื่องจากมีการแข่งขันกันสูง สถาบันการศึกษาจึงมุ่งพัฒนาความรู้ทางวิชาการ จนละเลยการพัฒนาด้านคุณธรรม การสอนภาษาต่างประเทศยังไม่มีคุณภาพ ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษากลางของโลกที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เจราจาต่อรองด้านการค้า ยังไม่มีคุณภาพ ทักษะด้านการคิดยังไม่มีคุณภาพ ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถพัฒนาทักษะด้านการคิด เพราะการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทางด้านสังคมและเทคโนโลยีจึงทำให้มีความจำเป็นที่ต้องใช้เทคโนโลยีในกิจวัตรประจำวันมากกว่าการสอนให้คิด


เอกสาร ตำรา ประกอบการศึกษาค้นคว้า
ภารดี  อนันต์นาวี.(2553) หลักการ แนวคิด ทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา.พิมพ์ครั้งที่3
                ชลบุรี: สำนักพิมพ์มนตรี.
สัมมา  รธนิธย์.(2553) เอกสารคำสอนหลักทฤษฎีและการปฏิบัติการบริหารการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่2  
                กรุงเทพฯ: แอล ที เพรส.
สมาน อัศวภูมิ (2551)  การบริหารการศึกษาสมัยใหม่: แนวคิด ทฤษฎี และการปฏิบัติ พิมพ์ครั้งที่ 4
                อุบลราชธานี: อุบลกิจออฟเซทการพิมพ์
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, แนวโน้มการศึกษาไทยในครึ่งทศวรรษหน้า (ออนไลน์), เข้าถึงได้จาก  :
            http://learners. In.th/blog/jintana-eti 5301/246139 (วันที่ค้นข้อมูล 10 สิงหาคม 2553)
ปราโมทย์  ประสานกุล และคณะ, การเปลี่ยนแปลงประชากรไทยกับการศึกษา, (ออนไลน์), เข้าถึงได้จาก:
            http://witayakornclub.wordpress.com/ (วันที่ค้นข้อมูล 10  สิงหาคม 2553.) แนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษาในอนาคต ,(ออนไลน์), เข้าถึงได้จาก: http://www.thainame.net/weblampang/sutat101/ (วันที่ค้นข้อมูล 10 สิงหาคม 2553).
ธีระ  รุญเจริญ 2544  “สภาพและปัญหาการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาใน
                ประเทศไทยรายงานการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ





1 ความคิดเห็น:

  1. วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการเปิดสอน 4 หลักสูตร ดังนี้

    บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต (หลักสูตรปริญญาเอก)
    Doctor of Business Administration (D.B.A.)

    รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต (หลักสูตรปริญญาเอก) Doctor of Public Administration (D.P.A.)

    รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรปริญญาโท) Master of Public Administration (M.P.A.)

    บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (หลักสูตรปริญญาโท)
    Master of Business Administration (M.B.A.)

    สนใจสมัครเรียน http://rcim.rmutr.ac.th/
    หรือโทร 02-441-6067 , 092-442-8000
    >>>Suphattra<<<

    ตอบลบ